บึงกาฬ-หนองคาย

เส้นทางที่ 1 บึงกาฬ-หนองคาย

เริ่มต้นเส้นทางการท่องเที่ยวในจังหวัดสุดปลายอีสาน จังหวัดที่ 77 ของไทย จังหวัดเงียบ ๆ เล็ก ๆ อีกหนึ่งจังหวัดน่าเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของภาคอีสานที่สามารถเดินทางจากกรุงเทพมหานครได้ด้วยรถประจำทาง และเครื่องบิน โดยลงที่สนามบินอุดรธานี แล้วต่อรถมายังจังหวัดบึงกาฬ โดยเส้นทางการท่องเที่ยวเริ่มจากการเดินเท้าที่ ภูทอก ในบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของ วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินเท้าเพื่อขึ้นไปสู่ยอดภูทอก มีทั้งหมด 7 ชั้นด้วยกัน โดยนักท่องเที่ยวจะต้องเดินเท้าด้วยการขึ้นบันไดไม้ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาของพระ เณรและชาวบ้าน ที่ใช้เวลาก่อสร้างถึง 5 ปี

จากนั้นจึงไปเยือน วัดอาฮงศิลาวาส ที่นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดบึงกาฬ  ด้วยวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม พื้นที่ติดกับแม่น้ำโขงเป็นแนวโค้งยาวประกอบกับมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องพญานาค มีความเชื่อกันว่าบริเวณหน้าวัด คือ จุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขงซึ่งมีความลึก 200 เมตร บริเวณนี้จะมีน้ำจะไหลเชี่ยววนจนเป็นหลุมรูปกรวย หากมีพวกเศษไม้ ใบไม้หรือวัตถุเล็กๆ ติดอยู่จะถูกกระแสน้ำหมุนวนเป็นรูปกรวยประมาณ 20-30 นาที แล้วจึงหลุดเคลื่อนไปในที่อื่น เมื่อมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวมาอีกก็จะต่อตัวเป็นรูปกรวยขึ้นมาใหม่เกิดสลับกันไปตลอดทั้งวัน จึงทำให้เชื่อว่าที่นี่คือ จุดที่เป็น สะดือแม่น้ำโขง ในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมของทุกปี สามารถมองเห็นแก่งอาฮง แก่งหินกลางลำน้ำโขงปรากาฎขึ้นมาเหนือน้ำ กลุ่มหินมีชื่อเรียกตามลักษณะของหิน เช่น หินลิ้น นาค หินปลาเข้ ถ้ำปลาสวาย นอกจากเป็นแหล่งพักผ่อนและสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ชาวบ้านโดยรอบยังอาศัยทำการประมงด้วย

วัดถ้ำศรีธน หรือ วัดสว่างอารมณ์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งของอำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ วัดตั้งอยู่บริเวณลานหินเนินเขา ร่มรื่นด้วยต้นไม้และลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน บริเวณใต้โขดหินใหญ่ประดิษฐานพระนอนให้ผู้คนสักการะบูชา บนโขดหินมีอุโบสถ ทรงระฆังคว่ำ หากขึ้นไปถึงด้านบนสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ไกลจนถึงฝั่งลาว จากนั้นจึงหาอาหารเย็นกินที่ริมโขง โดยเฉพาะปลาน้ำโขง นั้นมีชื่อเสียงมาก ก่อนจะเดินทางไปนอนริมโขง หรือนอนที่ตัวเมืองหนองคายก็แล้วแต่ชอบ

 

วันที่สอง

เดินทางเข้าไปยังจังหวัดหนองคาย เมืองแห่งความศักดิ์สิทธิ์ด้วยวัด และโบราณสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง เราเริ่มต้นกันด้วย วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ถือเป็นอีกหนึ่งศาสนสถานเก่าแก่ที่มีความสำคัญ และมีความสวยงามของศิลปะทางศาสนา มีเรื่องราวสืบทอดมาหลายร้อยปี เป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อพระใส อันศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพสักการะของชาวหนองคายและผู้คนลุ่มน้ำโขง พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองที่มีตำนานในประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับทั้งชาวไทยและชาวลาว จนมีคำกล่าวว่าไปวัดโพธิ์ชัย สักการะหลวงพ่อพระใส ชมหงอนพญานาค

วัดพระธาตุบังพวน ภายในวัดมีกลุ่มโบราณสถานแบ่งออกเป็นธาตุเจดีย์ขนาดต่าง ๆ 15 องค์ วิหาร 3 หลัง อุโบสถ 1 หลัง สระน้ำ บ่อน้ำโบราณและเป็เนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดแต่งอีกหลายแห่ง เจดีย์ประธานภายในวัดเรียกว่า “พระธาตุบังพวน” เป็นที่เคารพนับถือของชาวเมืองหนองคายและบริเวณใกล้เคียงมาเป็นเวลาช้านาน แล้ว บางตำนานกล่าวว่า “บังพวน” แผลงมาจากคำว่า “บังคน” (หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ขี้โผ่น) ซึ่งแปลว่ากระเพาะอาหารตามความเชื่อที่ว่า พระธาตุองค์นี้บรรจุพระบังคนหนักของพระพุทธองค์

วัดหินหมากเป้ง หนึ่งในวัดสำคัญของพระสายวิปัสสนากรรมฐาน ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมากในสมัยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์) ลูกศิษย์รูปหนึ่งของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่ได้เข้ามาจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้เมื่อ พ.ศ.2508 และริเริ่มจัดตั้งให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของภิกษุสงฆ์ แม่ชี และผู้แสวงบุญทั้งหลาย คำว่า “หินหมากเป้ง” เป็นชื่อหิน 3 ก้อน ที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ริมฝั่งโขงด้านทิศเหนือของวัด ซึ่งมีลักษณะคล้ายลูกตุ้มเครื่องชั่งทองคำสมัยโบราณ คนพื้นถิ่นเรียกว่า “เต็ง” หรือ “เป้งยอย” (หมากเป้งเป็นผลของต้นไม้ตระกูลปาล์มหรือหมากชนิดหนึ่ง) ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าหินก้อนที่ 1 เป็นของหลวงพระบาง หินก้อนที่ 2 เป็นของบางกอก ส่วนหินก้อนที่ 3 เป็นของเวียงจันทร์ (หินทั้ง 3 ก้อน จะมองเห็นได้เฉพาะในมุมมองจากแม่น้ำโขง หรือมุมมองจากฝั่งลาว)

วัดถ้ำศรีมงคล แหล่งท่องเที่ยวผจญภัยในดินแดนมหัศจรรย์ใต้พื้นดินเมืองบาดาล “ถ้ำเพียงดิน” หรืออีกชื่อ “ถ้ำดินเพียง” วัดถ้ำศรีมงคล ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย อยู่ห่างจาก “สกายวอล์ค” วัดผาตากเสื้อ เพียง 5 กีโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวท้าทายเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบผจญภัยในถ้ำ ภายในเต็มไปด้วยความสวยงามของโขดหิน ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่สร้างไว้อย่างน่าทึ่ง ชาวบ้านเชื่อว่าถ้ำแห่งนี้เคยเป็นสายทางที่พญานาคใช้เดินทางไปสู่เมืองบาดาล

 

 

จากนั้นจึงเดินทางต่อไปยัง วัดผาตากเสื้อ เดิมชื่อ วัดถ้ำพระ หลวงปู่เพชร ปะทีโป ท่านได้เดินทางมาปฏิบัติธรรม บริเวณถ้ำพระและได้ก่อตั้งวัดผาตากเสื้อขึ้น ต่อมาได้อัญเชิญพระสารีริกธาตุมาประดิษฐานเมื่อ 2 เมษายน 2550 เป็นที่สักการะของพุทธศาสนิกชนทั่วไป เป็นวัดที่มีทิวทัศน์สวยงาม สูงจากระดับน้ำทะเล 550 เมตร ภายในวัดมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ เป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง ในช่วงที่น้ำลดหากไปยืน อยู่บนวัดผาตากเสื้อแล้วมองลงมายังแม่น้ำโขง จะเห็นสันทรายเป็นริ้วคล้ายเกล็ดพญานาคอย่างชัดเจน โดยได้รับการตั้งให้เป็นแหล่ง ท่องเที่ยวเส้นทางในฝัน Dream Destination 2  จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นั่นก็คือ “เกล็ดพญานาคริมโขง”  ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ได้อย่างน่าพิศวง  จากจุดชมวิววัดผาตากเสื้อหากมองไปทางซ้ายมือจะมองเห็นวิวแม่น้ำโขงวาดยาวโค้งเป็นคุ้งน้ำ กลางแม่น้ำมีเกาะ ขนาดใหญ่ ทำให้แม่น้ำโขงช่วงนี้มีลักษณะคล้ายแยกเป็นรูป Y ที่มองเห็นประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างชัดเจน นอกจากจุดชมวิวตรงวัดแล้ว มีการสร้างสกายวอล์กกระจกใสแห่งแรกของเมืองไทย เป็นจุดชมวิวใหม่ของอีสาน มีลักษณะเป็นทางเดินกระจกใสที่ยื่นออกไปจากหน้าผาบริเวณวัดผาตากเสื้อ มีลักษณะเป็นรูปเกือกม้า เป็นทางเดินกระจกใสยื่นจากหน้าผาออกไป 6 เมตร สามารถรองรับน้ำหนักได้ประมาณ 20 คน จากนั้นจึงไปหาที่นอนแถวนตำบลบ้านม่วงที่อยู่ใกล้ ๆ กับจุดชมวิวภูห้วยอีสันเพื่อตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า

 

วันที่สาม

ตื่นเช้าตีห้ากว่า ๆ ก็ขึ้นรถอีแต๊ก ที่มีบริการไว้ในจุดที่ให้บริการ และใช้เวลาในการนั่งรถอีแต๋นขึ้นภูราว 20 นาทีเท่านั้นเอง เพื่อไปชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่ ห้วยภูอีสัน ในฤดูหนาว ตค.-มี.ค ของทุกปีจะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกข้างล่างของหมอกนั้นคือแม่น้ำโขงแขตแดนแบ่งความเป็นไทยและลาว

จากนั้นจึงไปเที่ยวต่อที่ น้ำตกธารทิพย์ ชื่อเดิมคือ น้ำตกตาดเสริม เป็นน้ำตกที่สวยงาม บรรยากาศร่มรื่น และยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่มาก สามารถเดินเข้าถึงได้ไม่ลำบาก น้ำตกธารทิพย์เป็นน้ำตกที่สามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ที่อยากแนะนำคือช่วงปลายฤดูฝนซึ่งยังคงมีน้ำมาก ได้ชมน้ำตกที่สวยงาม ผืนป่าโดยรอบยังคงความชอุ่มแต่ไม่อันตราย

 

ใกล้ ๆ กับน้ำตกธารทิพย์ จะมีน้ำตกธารทอง มีลักษณะเป็นธารน้ำไหลไปตามลานหิน มีแอ่งน้ำให้เล่นน้ำได้ ก่อนจะลดระดับเกิดเป็นชั้นน้ำตกเล็ก ๆ เป็นระยะลดหลั่นกันไปประมาณ 30 เมตร และไหลลงสู่ลำน้ำโขงในที่สุด ช่วงเวลาที่มีน้ำมากเหมาะแก่การมาเที่ยวชม คือ ระหว่างเดือนมิถุนายน – ตุลาคม บริเวณโดยรอบเป็นสวนรุกชาติมีป่าไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาในการชื่นชมธรรมชาติได้อย่างเต็มอิ่มก่อนจะเดินทางกลับmktravelroutemktravelroutemktravelroute