ปิดท้ายด้วยเครื่องหวานอย่างสับปะรดลอยแก้วหรือผลไม้ตามฤดูกาล เพื่อเสริมรสชาติและเพิ่มความสดชื่นหลังจากการรับประทานอาหารคาวที่มีรสชาติหนักและเข้มข้นตามวัฒนธรรมอิสลาม โดยใช้สับปะรดพันธุ์ศรีราชาหรือพันธุ์ปัตตาเวียที่มีรสเปรี้ยวหวานอย่างลงตัว เนื้อสับปะรดที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำเหมาะสำหรับการเสิร์ฟปิดท้าย และทำให้การรับประทานอาหารครบสมบูรณ์มากขึ้น
          เครื่องหวานที่เป็นขนมไทยนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่าอาหารคาว ต้องใช้ทักษะและเวลามากกว่าการทำอาหารคาว มีความประณีตอย่างสูง โดยในอดีตการได้รับประทานขนมหวานถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงที่มีการรับประทานขนมหวานเพื่อล้างปากหลังมื้ออาหาร จนเกิดเป็นสำนวน “กินคาวไม่กินหวาน…” เนื่องจากสมัยก่อนน้ำตาลเป็นวัตถุดิบที่มีราคาแพงและหาได้ยาก ไม่ใช่เครื่องปรุงจำเป็นที่ทุกครัวเรือนจะมีติดบ้าน ดังนั้นการจะทำขนมหวานหรืออาหารหวานที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบจำนวนมากจึงทำได้อย่างจำกัด เฉพาะบ้านของคนมีฐานะหรือเจ้าขุนมูลนายเท่านั้น น้อยครั้งที่ชาวบ้านทั่วไปจะได้กินขนมหวาน ต่อมาเมื่อน้ำตาลหาซื้อได้แพร่หลายมากขึ้นก็มีต้นกำเนิดขนมหลายประเภทที่ใช้น้ำตาลทรายเป็นวัตถุดิบสำคัญ รวมทั้งขนมตระกูล “ทอง” ทั้งหลายจากท้าวทองกีบม้า เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ฯลฯ ขนมในวัฒนธรรมไทยจึงมีบทบาททั้งในแง่ของรสชาติและการส่งเสริมวัฒนธรรมการกินอย่างสมบูรณ์
          จะเห็นได้ว่าสำรับอาหารไทยดังที่ได้กล่าวมา สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการกินแบบไทยที่เน้นการแบ่งปันและความสนุกสนานในการรับประทานร่วมกัน ความหลากหลายของวัตถุดิบและรสชาติ ทั้งหวาน เค็ม เปรี้ยว และเผ็ด แสดงถึงภูมิปัญญาในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรท้องถิ่นอย่างชาญฉลาด อย่างไรก็ตามอาหารไทยยังมีอาหารประเภทรับประทานเล่น เทียบเคียงกับวัฒนธรรมการจิบชาย่ามบ่ายของชาวอังกฤษ (Afternoon Tea) มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและสะท้อนค่านิยมของแต่ละวัฒนธรรม อาหารทานเล่นไทยมักเน้นความไม่เป็นทางการและการแบ่งปัน สะท้อนถึงลักษณะนิสัยเป็นกันเองและความเอื้อเฟื้อของคนไทย ในขณะที่มื้อน้ำชาของอังกฤษอาจมีพิธีรีตองมากกว่า แสดงถึงความสำคัญของธรรมเนียมปฏิบัติทางสังคม
         ความหลากหลายของอาหารทานเล่นไทยยังแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาในการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและความคิดสร้างสรรค์ในการปรุงอาหาร ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน นอกจากนี้ อาหารทานเล่นยังมีบทบาทสำคัญในเทศกาลและงานประเพณีต่าง ๆ เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความทรงจำและประสบการณ์ร่วมกันของผู้คน ในปัจจุบันอาหารทานเล่นไทยยังได้รับความนิยมในระดับนานาชาติ กลายเป็นทูตทางวัฒนธรรมที่ช่วยเผยแพร่เอกลักษณ์และรสนิยมของไทยสู่สายตาชาวโลก เช่น เมี่ยงคำ ไส้กรอกปลาแนม ม้าฮ่อ ปั้นสิบไส้ปลา ช่อม่วง สาคูไส้หมู ปลาแห้งแตงโม ข้าวตังหน้าตั้ง สะเต๊ะ ฯลฯ
          ในปัจจุบันสำรับอาหารไทยดังที่กล่าวมาค่อย ๆ จางหายไป เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวิถีชีวิตของคนไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในสังคมเมือง ครอบครัวขนาดเล็กลง ทำให้การทำอาหารหลากหลายในคราวเดียวไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ข้อจำกัดด้านเวลาและพื้นที่ในการประกอบอาหาร ทำให้การซื้ออาหารสำเร็จรูปหรือรับประทานนอกบ้านได้รับความนิยมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้รูปแบบการจัดสำรับแบบดั้งเดิมจะลดน้อยลง แต่แนวคิดในการจัดสมดุลรสชาติอาหารยังคงอยู่ในวิถีการบริโภคของคนไทย สะท้อนผ่านการเลือกสั่งอาหารในร้านอาหารหรือการเลือกซื้ออาหารมารับประทานที่บ้าน ยังคงคำนึงถึงความหลากหลายและความสมดุลของรสชาติ แสดงให้เห็นว่าแก่นแท้ของวัฒนธรรมอาหารไทยยังคงดำรงอยู่ แม้จะปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามยุคสมัย